วิตามินเอ

การทาวิตามินเอ (Vitamin A) โดยเฉพาะในรูปแบบของ เรตินอยด์ (Retinoids) ซึ่งเป็นอนุพันธ์ของวิตามินเอ เช่น เรตินอล (Retinol) และ ทาซาโรทีน (Tazarotene) อาจทำให้ผิวบางลงได้ในบางกรณี และมีผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นได้ เช่น ความไวต่อแสง เป็นต้นครับ เพราะฉะนั้นใครที่ทาวิตามินเออยู่แล้วฟังแต่คนรีวิวว่าดี ต้องอ่านบทความนี้ให้จบครับ ไม่อย่างงั้นอาจจะหน้าบาง หน้าพังได้ไม่รู้ตัวนะครับ

วิตามินเอส่งผลอะไรบ้าง?

ผลข้างเคียงจากการใช้วิตามินเอ (Retinoids):

  • การระคายเคือง: ในช่วงแรกของการใช้วิตามินเอ หรือเรตินอยด์ อาจทำให้เกิดการระคายเคืองที่ผิวหน้า เช่น ผิวแห้ง ลอก หรือแดง ซึ่งเป็นสัญญาณของการปรับตัว
  • การทำให้ผิวบางลง: การใช้เรตินอยด์ในปริมาณมากหรือใช้อย่างต่อเนื่องในระยะยาวอาจทำให้ผิวบางลงได้ โดยเฉพาะในชั้นบนสุดของผิวหนัง (epidermis) เนื่องจากวิตามินเอช่วยเร่งการผลัดเซลล์ผิวและกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ซึ่งอาจทำให้ผิวสูญเสียความหนาและความแข็งแรง
  • ความไวต่อแสงแดดเพิ่มขึ้น: การใช้วิตามินเอสามารถทำให้ผิวมีความไวต่อแสงแดดมากขึ้น จึงควรใช้ครีมกันแดดทุกครั้งเมื่อทาผลิตภัณฑ์ที่มีวิตามินเอ

การใช้วิตามินเออย่างปลอดภัย:

  • เริ่มใช้ในปริมาณน้อย: ควรเริ่มใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีวิตามินเอในปริมาณน้อยและค่อยๆ เพิ่มปริมาณเมื่อผิวปรับตัวได้ เพื่อหลีกเลี่ยงการระคายเคืองหรือผิวบางเกินไป
  • หลีกเลี่ยงการใช้ร่วมกับผลิตภัณฑ์ที่มีกรดแรง: หากใช้วิตามินเอในรูปแบบของเรตินอยด์ ควรหลีกเลี่ยงการใช้ร่วมกับผลิตภัณฑ์ที่มีสารเคมีที่รุนแรง เช่น กรด AHA หรือ BHA ซึ่งอาจเพิ่มการระคายเคืองและการบางของผิว
  • ทาก่อนนอนและใช้ครีมกันแดด: เนื่องจากวิตามินเออาจทำให้ผิวไวต่อแสงแดดมากขึ้น ควรทาผลิตภัณฑ์ตอนกลางคืนและใช้ครีมกันแดดในตอนกลางวันเสมอ

การทาวิตามินเอในรูปแบบอื่นๆ:

  • วิตามินเอในอาหาร (Beta-carotene): หากคุณได้รับวิตามินเอจากแหล่งอาหาร เช่น ผักสีเขียวหรือผลไม้ที่มีเบต้าแคโรทีน (ซึ่งเป็นสารตั้งต้นของวิตามินเอ) จะไม่ทำให้ผิวบางลง เนื่องจากร่างกายจะใช้วิตามินเอในปริมาณที่จำเป็นและจะไม่เกิดผลข้างเคียงเช่นเดียวกับการใช้เรตินอยด์
เรตินอล

วิธีทำให้หน้าแข็งแรงหลังจากการใช้วิตามินเอ

  1. หยุดใช้วิตามินเอชั่วคราว

หากคุณรู้สึกว่า ผิวระคายเคือง หรือ แห้ง มากเกินไป ควรหยุดใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีวิตามินเอในช่วงหนึ่ง เพื่อให้ผิวได้มีเวลาฟื้นฟูจากผลข้างเคียง

  • ให้ผิวได้พักอย่างน้อย 1-2 สัปดาห์ ขึ้นอยู่กับระดับการระคายเคืองของผิว
  1. ใช้ผลิตภัณฑ์ที่ให้ความชุ่มชื้นสูง (Moisturizers)
  • ใช้มอยส์เจอไรเซอร์ที่อ่อนโยนและไม่ก่อให้เกิดการระคายเคือง: ควรเลือกมอยส์เจอไรเซอร์ที่ไม่มีน้ำหอมหรือสารเคมีที่ทำให้ระคายเคือง เช่น CeraVe, Neutrogena Hydro Boost, หรือ La Roche-Posay ที่ช่วยเสริมการฟื้นฟูผิว
  • ใช้ครีมที่มีส่วนผสมของเซราไมด์ (Ceramides): เซราไมด์เป็นสารที่ช่วยเสริมสร้างเกราะป้องกันผิว ช่วยให้ผิวไม่สูญเสียความชุ่มชื้นและช่วยให้ผิวแข็งแรงขึ้น
  • ทาครีมบำรุงในตอนกลางคืน: ครีมบำรุงจะทำงานได้ดีที่สุดเมื่อทาก่อนนอนและช่วยให้ผิวได้รับการฟื้นฟูในระหว่างการพักผ่อน
  1. ใช้ครีมที่มีสารช่วยเสริมสร้างเกราะป้องกันผิว

การใช้ผลิตภัณฑ์ที่ช่วยเสริมเกราะป้องกันผิว เช่น มอยส์เจอไรเซอร์ที่มีส่วนผสมของ Niacinamide (ไนอะซินาไมด์) หรือ Hyaluronic Acid (กรดไฮยาลูโรนิก) จะช่วยให้ผิวฟื้นฟูเร็วขึ้น

  • Niacinamide (วิตามินบี 3): ช่วยเสริมสร้างฟังก์ชันการป้องกันผิว และช่วยลดการระคายเคืองที่อาจเกิดจากการใช้วิตามินเอ
  • Hyaluronic Acid: ช่วยเติมความชุ่มชื้นและฟื้นฟูผิวให้มีความยืดหยุ่น
  1. ปกป้องผิวจากแสงแดด (Sunscreen)
  • ทาครีมกันแดดทุกวัน: เนื่องจากการใช้วิตามินเอหรือเรตินอยด์ทำให้ผิวไวต่อแสงแดดมากขึ้น จึงควรทาครีมกันแดดที่มี SPF อย่างน้อย 30 ขึ้นไปทุกวัน แม้ในวันที่ไม่มีแสงแดดโดยตรง
  • เลือกครีมกันแดดที่ไม่ระคายเคืองผิว เช่น สูตรที่เป็น Physical Sunscreen ที่ใช้ Zinc Oxide หรือ Titanium Dioxide ซึ่งจะช่วยป้องกันแสง UVA และ UVB ได้ดี
  1. ใช้ผลิตภัณฑ์ที่ช่วยซ่อมแซมผิว (Repairing Products)
  • ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของแพนธีนอล (Panthenol): เป็นส่วนผสมที่ช่วยลดการระคายเคืองและฟื้นฟูผิว
  • ใช้ผลิตภัณฑ์ที่มี Madecassoside หรือ Centella Asiatica (ใบบัวบก): ช่วยลดการอักเสบและเร่งการฟื้นฟูผิว
  • **ใช้ผลิตภัณฑ์ที่มี Peptides: ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและเสริมสร้างผิวให้แข็งแรงขึ้น
  1. หลีกเลี่ยงการใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีกรด (AHA, BHA) หรือสารที่ระคายเคืองในช่วงฟื้นฟู
  • หลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์ที่มีกรดผลัดเซลล์ผิว เช่น AHA, BHA หรือกรดวิตามินซีในระยะฟื้นฟู เพราะอาจทำให้ผิวระคายเคืองและบางลงได้
  • หลีกเลี่ยงการขัดผิว หรือการใช้สครับในระยะที่ผิวกำลังฟื้นฟูจากวิตามินเอ
  1. การรักษาด้วยการปรับอาหาร
  • รับประทานอาหารที่ดีต่อผิว: การรับประทานอาหารที่มีสารต้านอนุมูลอิสระ เช่น วิตามินซี, วิตามินอี, โอเมก้า-3 จากปลา หรือ ผักใบเขียว จะช่วยเสริมสร้างการฟื้นฟูผิว
  • ดื่มน้ำให้เพียงพอ: การดื่มน้ำจะช่วยให้ผิวคงความชุ่มชื้นและมีสุขภาพดี
  1. ให้เวลาผิวในการฟื้นฟู
  • ให้ผิวได้พัก: ถ้าผิวระคายเคืองมากจนรู้สึกไม่สบายใจ ควรหยุดใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีวิตามินเอและให้ผิวมีเวลาฟื้นฟู
  • ใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงที่อ่อนโยน: ควรเลือกผลิตภัณฑ์ที่ไม่ทำให้ระคายเคืองผิวหรือทำให้เกิดการอักเสบอีกครั้ง

สรุป

การทาวิตามินเอในรูปแบบของ เรตินอยด์ อาจทำให้ผิวบางลงได้ หากใช้อย่างไม่ถูกวิธีหรือใช้อย่างต่อเนื่องในระยะยาวโดยไม่ป้องกันผิวจากแสงแดดและไม่ควบคุมปริมาณการใช้ หากคุณใช้วิตามินเอในการดูแลผิว ควรเริ่มต้นด้วยการใช้ในปริมาณน้อยและค่อยๆ เพิ่มปริมาณในระยะยาว พร้อมทั้งใช้ครีมกันแดดเพื่อป้องกันความเสียหายจากแสงแดดด้วยนะครับ 

สำหรับใครที่ทำงานอยู่บ้านไม่ว่าจะเป็น WFH หรือเทรดคริปโต Forex หรือหวยไว ถึงจะอยู่ในบ้านอย่างเดียวก็ต้องทากันแดดด้วยเช่นกันครับ

No responses yet

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *